วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีแก้ปัญหา Apple ID ถูกล็อค !! ใช้โหลดแอพ โหลดเพลงไม่ได้

how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-featured
ปัญหานี้เป็นคำถามที่ถูกถามกันเข้ามามากที่สุดเลยก็ว่าได้ว่า วิธีแก้ปัญหา Apple ID ถูกล็อค ใช้โหลดแอพ อัพเดตแอพ หรือโหลดเพลงใน iTunes หรือ App Store ไม่ได้เลย จะต้องทำอย่างไร? วันนี้ทีมงาน MacThai มีวิธีแก้มาฝากกัน

สาเหตุที่โดนล็อค Apple ID

สาเหตุที่ Apple ID ของเราถูกล็อคมีหลายสาเหตุเช่น มีคนพยายามจะล็อคอินไอดีของเรา ใส่รหัสผิดหลายครั้ง มีการล็อคอินไอดีบนอุปกรณ์จำนวนมากผิดปกติ หรือแม้กระทั่งใส่ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ปลอม ถ้าแอปเปิลตรวจสอบเจอก็จะทำการล็อค Apple ID เช่นกัน
โดยข้อความที่ทีแจ้งเตือนเมื่อ Apple ID ของเราถูกล็อคก็จะมีหลายแบบ ตัวอย่างเช่น
  • This Apple ID has been disabled for security reasons.
  • You can’t sign in because your account was disabled for security reasons.
  • This Apple ID has been locked for security reasons.
ซึ่งเมื่อถูกล็อค Apple ID เราจะไม่สามารถโหลดแอพ เพลง หนัง หรือแม้กระทั่งเข้าไปแก้ไขข้อมูลภายในไอดีได้เลย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าไปทำการปลดล็อคไอดีกับทางแอปเปิลเสียก่อน

วิธีปลดล็อค Apple ID

การปลดล็อค Apple ID มีหลายวิธีด้วยกัน วันนี้เลยนำวิธีปลดล็อค Apple ID มาฝากกัน 2 วิธี
วิธีที่ 1
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือไปรีเซตรหัสผ่านที่เว็บ https://iforgot.apple.com/ โดยมีขั้นตอนดังนี้
เมื่อเข้าเว็บด้านบนแล้ว จะเจอหน้านี้ ให้เรากรอก Apple ID ของเราที่ถูกล็อคเข้าไป
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-1
จากนั้นจะถามว่าจะใช้วิธีไหนในการรีเซตรหัสผ่าน วิธีแรกก็คือ รีเซตผ่านอีเมล โดยแอปเปิลจะส่งอีเมลไปที่ให้เรารีเซตรหัสผ่าน ซึ่งเข้าไปลองเช็คในอีเมลที่เราใช้เป็น Apple ID เสียก่อน ถ้าไม่เจออีกอีเมล แอปเปิลอาจจะส่งไปที่อีเมลสำรองที่เราเคยใส่ไว้
ส่วนวิธีที่สอง ตอบคำถามด้านความปลอดภัย
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-2
สำหรับใครที่เลือกวิธีตอบคำถามด้านความปลอดภัย แอปเปิลจะถามวันเดือนปีเกิดของเราก่อน
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-3
หลังจากนั้น แอปเปิลจะถามคำถามด้านความปลอดภัย 2 คำถาม
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-4
หลังจากนั้นจะให้ใส่รหัสผ่านใหม่ โดยจะต้องมีตัวอักษรภาษาอังกฤษมากกว่า 8 ตัว และต้องเป็นมีตัวพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่และตัวเลขอยู่ในรหัสผ่านด้วย
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-5
เพียงแค่นี้เราก็สามารถปลดล็อค Apple ID ได้แล้ว สำหรับใครที่ทำวิธีนี้แล้วไอดียังโดนล็อคอยู่ หรือจำรหัสความปลอดภัยหรือแม้กระทั่งจำรหัสอีเมลตัวเองไม่ได้ ให้ลองมาใช้วิธีที่ 2 ดู

วิธีที่ 2 
วิธีนี้ก็คือโทรไปหาพนักงานแอปเปิลโดยตรง ให้เค้าปลดล็อค Apple ID ของเรา โดยโทรไปที่เบอร์ 001-800-65-6957 หรือ 001-800-4412904 โทรฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-7
และเราจะต้องโทรไปในเวลาทำการ ด้วย ซึ่งพนักงานแอปเปิลที่รับสายนั้นเป็นคนไทย พูดภาษาไทย ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง และเมื่อโทรไปอาจจะต้องใช้ความอดทนในการรอสายนิดนึง บางครั้งอาจจะต้องถือสายรอถึง 30 นาทีเลยทีเดียว
เมื่อพนักงานรับสาย ก็บอกเขาไปว่า Apple โดนล็อค ต้องการปลดล็อคไอดี พนักงงานก็จะถาม ชื่อ อีเมล์ วันเกิด คำถามความปลอดภัย เพื่อยืนยันตัวตน

เพิ่มเติม
การติดต่อพนักงานแอปเปิลทางโทรศัพท์หรือทางแชทนั้น พนักงานอาจจะมีการถามรหัส PIN 4 ตัว โดยสามารถเข้าไปดูรหัส PIN 4 ตัวนี้ได้ที่เว็บ http://appleid.apple.com
ให้เราทำการล็อคอิน Apple ID เข้าไปเสียก่อน จากนั้นให้ไปกดที่ Temporary Support PIN ด้านล่าง
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-10
จะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาบอกว่า ถ้าต้องการติดต่อพนักงานแอปเปิลทางโทรศัพท์หรือแชท พนักงงานอาจจะถามรหัส PIN 4 ตัวนี้ ให้เรากดปุ่ม Generate PIN
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-11
เราก็จะได้รหัส PIN 4 ตัวขึ้นมา ถ้าพนักงานถามรหัส PIN ก็เอาเลข 4 ตัวนี้ตอบเค้าไป
how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled-12
เพียงเท่านี้ก็สามารถปลดล็อค Apple ID ได้อย่างแน่นอน

Credits:http://www.macthai.com/2015/08/01/how-to-reset-password-after-apple-id-was-disabled/

วิธีซื้อแอพ, เพลง, สมัคร Apple Music ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ด้วย TrueMoney ได้ผล 100%

wecard-by-true-wallet-itunes-appstore
ปัญหาที่ถูกถามเข้ามามากที่สุดสำหรับผู้ใช้ iPhone, iPad หนีไม่พ้นคำถาม “อยากซื้อแอพ ซื้อสติกเกอร์ LINE แต่ไม่มีบัตรเครดิต ต้องทำยังไง??”
วันนี้ทีมงาน MacThai ได้นำวิธีการซื้อแอพ เพลง หนังใน App Store, iTunes Store และการสมัคร Apple Music, สติกเกอร์ LINE หรือ In-app Purchase อื่น ๆ ได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ด้วยแอพ Wallet by TrueMoney กัน
เรามาทำความรู้จักแอพ Wallet by TrueMoney กันก่อน แอพ Wallet นี้เป็นแอพที่ไว้ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะ จ่ายบิล โอนเงินระหว่างบัญชี เติมเงินต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านเพียงแอพเดียว สามารถอ่านรีวิวแอพ Wallet by TrueMoney เพิ่มเติมได้ที่นี่
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-16
ซึ่งแอพ Wallet นี้ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ และมีประโยชน์มาก นั่นก็คือ WeCard ซึ่งเป็นบริการสร้างบัตรเครดิตเสมือนจริงขึ้นมาให้เราสามารถใช้จ่ายหรือซื้อของออนไลน์ เช่น ซื้อแอพ เพลง หนัง ต่าง ๆ จาก iTunes Store ซื้อสติกเกอร์ LINE ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว

วิธีการสมัคร WeCard ผ่านแอพ Wallet by TrueMoney

1.  โหลดแอพ Wallet by TrueMoney จาก App Store

แอพนี้สามารถใช้ได้ทั้งบน iPhone, iPad และ iPod touch นอกจากจะใช้บน iOS แล้วแอพนี้ก็ยังสามารถใช้งานบนมือถือ Android ได้อีกด้วย ที่สำคัญแอพนี้โหลดฟรี !!
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-10

2.  สมัครสมาชิก

กดเข้าไปในแอพ หลังจากนั้นให้กดสมัครสมาชิก ในขั้นตอนนี้จะต้องกรอก ชื่อ นามสกุล, รหัสบัตรประชาชน, เบอร์โทรศัพท์และอีเมล เพื่อยืนยันตัวตน
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-9
เมื่อสมัครเสร็จเรียบร้อย ระบบก็จะตามว่าจะตั้งรหัสผ่าน 4 ตัวหรือจะใช้ Touch ID ในการเข้าใช้งาน ซึ่งตรงนี้ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

3.  สร้างบัตร Virtual Card

โดยการกดไปที่แถบ WeCard ด้านล่าง จากนั้นกดปุ่ม “สร้างบัตร Virtual WeCard ฟรี!”
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-17  wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-5
ตรงนี้ให้กรอกชื่อ-นามสกุลของเราเป็นภาษาอังกฤษ ลงไป
ต่อมาให้กดปุ่ม “สร้าง Virtual WeCard” ในขั้นตอนนี้ถ้าชื่อของใครยาวแล้วโดนย่อลงก็ไม่ต้องตกใจ เพราะระบบย่อชื่อให้ชื่อพอดีกับบนหน้าบัตรเฉย ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติ
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-2 wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-14
เพียงแค่นี้เราก็มีบัตรเครดิตเสมือนจริง ไว้ใช้จ่าย ซื้อของออนไลน์ ซื้อแอพ เพลง หนัง สติกเกอร์ได้แล้ว โดยเราสามารถกดเข้าไปดูเลขบัตรแบบเต็ม ๆ ได้เพียงกดเข้าไปที่รูปแว่นขยาย
เมื่อกดเข้ามาเราจะหน้าตาของบัตร Virtual WeCard เราจะต้องใช้ข้อมูลทั้งหมดในหน้านี้นำไปกรอกเพื่อไปผูกกับ Apple ID ของเรา ซึ่งต้องใช้ข้อมูลดังนี้
  1. บัตร WeCard จะเป็นของ MasterCard
  2. เลขบัตร WeCard 16 หลัก
  3. ชื่อผู้ถือบัตร
  4. วันหมดอายุ (เดือน/ปีค.ศ.)
  5. รหัสหลังบัตร 3 หลัก
  6. ชื่อธนาคารผู้ออกบัตร โดย WeCard นี้ออกบัตรโดยธนาคารธนชาต
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-4

วิธีการเติมเงินเข้า Wallet (หรือ WeCard)

การเติมเงินเข้า Wallet ก็คือการเติมเงินเข้า WeCard หมายความว่าเป็นเงินก้อนเดียวกัน ซึ่งการเติมเงินเข้า Wallet มีหลายวิธีด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ เติมเงินผ่านธนาคาร, ผ่านร้านค้า และ ผ่านตู้เติมเงิน
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-15  wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-7
แต่วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้ไปที่ 7-ELEVEN จากนั้นเปิดแอพและกดไปที่รูป 7-ELEVEN จะได้บาร์โค้ดมาตามรูป แล้วบอกพนักงานให้เติมเงินเข้าบาร์โค้ดนี้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ต้องเติมเงิน 500 บาทขึ้นไป หรือใครต้องการเติมเงินจำนวนน้อย ๆ สามารถเติมเงินผ่านเค้าเตอร์ CP Fresh Mart หรือ Airpay ได้เช่นกัน
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-16

วิธีการผูกบัตร WeCard เข้ากับ Apple ID

1.  เติมเงินลงไปในบัตร

อันดับแรกของการผูกบัตร WeCard กับ Apple ID เพื่อซื้อของ นั่นก็คือ เติมเงินลงไปในบัตรเสียก่อน เนื่องจากแอปเปิลจะทำการทดลองหักเงินจากบัตรเครดิตที่เราผูก $0.99 เพื่อยืนยันว่าบัตรใบนี้สามารถใช้งานได้จริง ๆ หลังจากนั้นแอปเปิลจะทำการคืนเงินจำนวนนี้ในภายหลัง เพราะฉะนั้นเราจะต้องเติมเงินอย่างน้อย 40 บาท เพื่อให้แอปเปิลทดลองหักเงิน

2.  เข้าไปที่ App Store เพื่อผูกข้อมูลบัตร

โดยให้เข้าไปที่ App Store เลือกแถบ Featured จากนั้นเลื่อนลงไปด้านล่างสุด ให้กดที่ Apple ID ของเรา
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-11 wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-13
ให้กด View Apple ID หลังจากนั้นให้ใส่รหัสผ่าน Apple ID ของเราลงไป
เมื่อเข้ามาแล้ว ให้เลือกที่ Payment Infomation
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-6  wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-3
จากนั้นให้เราเลือก MasterCard เนื่องจาก WeCard ของเราเป็น MasterCard จากนั้นก็กรอกเลขบัตรเครดิต 16 หลัก, รหัสหลังบัตร 3 ตัว และวันหมดอายุ ลงไป เมื่อกรอกเสร็จให้กดปุ่ม Done เพียงแค่นี้ก็ผูก WeCard กับ Apple ID ได้แล้ว หลังจากนั้นเราก็สามารถซื้อแอพ เพลง เกม หนังจาก App Store, iTunes Store หรือสมัครบริการ Apple Music ได้ทันที
wecard-by-true-wallet-itunes-appstore-18
นอกจากนี้ทาง truemoney ได้ทำวีดิโอสาธิตวิธีการผูกบัตรเครดิตกับ Apple ID โดยสามารถชมคลิปด้านล่างนี้ได้เลย

ข้อสังเกตในการใช้ WeCard

  • WeCard สามารถผูกกับ Apple ID เพื่อซื้อแอพ โหลดเพลง หนัง หรือสมัครบริการ Apple Music เพิ่มขนาดความจุของ iCloud กดซื้อ In-app Purchase หรืออื่น ๆ ได้ทันที
  • WeCard สามารถผูกกับ Apple ID ของประเทศไทย เท่านั้น !! ไม่สามารถนำไปผูกกับไอดีของต่างประเทศได้
  • นอกจากนี้ WeCard ยังสามารถผูกกับ Google Account เพื่อโหลดแอพจาก Play Store บนมือถือแอนดรอยได้อีกด้วย
  • ข้อดีของการใช้ WeCard ก็คือ เราสามารถจำกัดวงเงินในการซื้อได้ เนื่องจาก WeCard ไม่สามารถซื้อของได้ ถ้ามีเงินใน Wallet ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นหมดห่วงเรื่องเรียกเก็บเงินภายหลัง หนี้บานปลายไปได้เลย

สรุป

บริการ WeCard ใหม่จาก TrueMoney เป็นบริการที่สะดวกมาก ตอบโจทย์กับผู้คนสมัยใหม่ที่หันมาซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งบริการนี้ ไม่จำเป็นต้องมีสลิปเงินเดือน เราก็สามารถมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองได้ และที่สำคัญไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นหนี้ในภายหลัง
อ่านเพิ่มเติม

เตือน !! ช่วงฟัง Apple Music ฟรีใกล้หมดแล้ว อ่านวิธียกเลิกหักค่าบริการอัตโนมัติก่อนถูกหักตังค์

caution-turn-off-apple-music-subscription
หลังจากที่แอปเปิลเปิดตัวบริการ Apple Music เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้สิ้นสุดช่วงทดลองใช้ 3 เดือนเต็มทีแล้ว ถ้าใครเปิดใช้บริการ Apple Music ตั้งแต่วันแรก (30 มิถุนายน) ก็จะสามารถทดลองใช้ได้ถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น
หลังจากหมดช่วงทดลองใช้แล้ว แอปเปิลจะหักค่าบริการอัตโนมัติเดือนละ $4.99 (~170 บาท) สำหรับ Individual และ $7.99 (~270 บาท) สำหรับ Family เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ถูกใจหรือไม่สนใจที่จะใช้บริการต่อ ให้รีบเข้าไปยกเลิกบริการ Apple Music ก่อนที่จะหมดช่วงทดลองใช้ ส่วนวิธียกเลิกบริการ Apple Music สามารถทำได้โดยตามขั้นตอนด้านล่างนี้

วิธีตรวจสอบวันหมดช่วงฟังฟรี และยกเลิกการหักค่าบริการอัตโนมัติ

วิธีตรวจสอบและปิดบริการสมัครสมาชิก Apple Music ผ่าน iPhone, iPad, iPod Touch สามารถทำได้ดังนี้
how-to-turn-off-apple-music-subscription-2
  • ให้ไปที่แอพ Music บน iOS จากนั้นให้กดปุ่มไอคอนหน้าคน มุมบนซ้ายมือ
  • เลือก View Apple ID
  • หลังจากนั้นให้เข้าไปที่ Manage
how-to-turn-off-apple-music-subscription-3
  • เลือก Subscriptions ที่เป็น Apple Music
  • จากนั้นด้านบน จะเห็นคำว่า Free Trial ซึ่งจะระบุวันสุดท้ายที่เราสามารถใช้ได้ฟรี (ตามภาพคือ 30 กันยายน 2015)
  • จะเห็น Renewal Options เลือก Your Membership (Apple Music Membership)
  • จะเห็น Automatic Renewal ให้ทำการปิดมันซะ
Credits:http://www.macthai.com/2015/09/11/caution-turn-off-apple-music-subscription/

วิธีอัพเดท watchOS 2 สำหรับผู้ใช้ Apple Watch

how-to-update-watchos-2-featured
watchOS 2 เป็นระบบปฏิบัติการของ Apple Watch ที่เป็นการอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกก็ว่าได้ โดยฟีเจอร์เด็ดของ watch OS 2 ก็คือ สามารถติดตั้ง Native App บน Apple Watch ได้ ซึ่งข้อดีก็คือ แอพสามารถทำงานบน Apple Watch ได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ต้อง Sync ข้อมูลกับไอโฟน ทำให้การทำงานของแอพเร็วกว่าแต่ก่อนมาก
วันนี้ทีมงาน MacThai จึงนำวิธีอัพเดท watchOS 2 ง่าย ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนมาฝากกัน

สิ่งที่ต้องทำก่อนอัพเดท

  • ชาร์จแบต iPhone และ Apple Watch ของเราให้มีเกิน 50%
  • นำไอโฟนไปต่อ Wi-Fi ให้เรียบร้อย เพราะขนาดของ watchOS 2 จะอยู่ที่ 517 MB
  • นำ Apple Watch มาอยู่ใกล้ ๆ ไอโฟน
  • ขณะทำการดัพเดท เราจะต้องชาร์จแบต Apple Watch ตลอดเวลา
  • และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือไอโฟนจะต้องอัพเดทเป็น iOS 9 ก่อน !!
how to update watchos 2-1

วิธีการอัพเดท watchOS 2

  • หยิบไอโฟนขึ้นมา เข้าที่แอพ Watch จากนั้นเลือก General >> Software Update

how to update watchos 2-7

  • ต่อมาให้กดที่ Download and Install
  • จะขึ้นหน้า Terms and Condition ให้เรากด Agree ด้านล่างขวา
  • สำหรับใครที่ตั้ง Passcode ไว้ ก็ให้ใส่รหัสลงไป
  • จากนั้นก็รอ รอ รอ แล้วก็รอ
how-to-update-watchos-2-10
  • เมื่อทำการดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อย Apple Watch ของเราก็จะเริ่มทำการ Install watchOS 2 ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควร
  • เมื่อเสร็จเรียบร้อย Apple Watch ก็จะทำการ Reboot ใหม่ 1 ครั้ง
how to update watchos 2-8
เพียงแค่เราก็สามารถอัพเดท Apple Watch ของเราให้เป็น watchOS 2 ได้แล้ว
เช็คเพื่อความแน่ใจว่าอัพเดทเป็น watchOS 2 สำเร็จหรือไม่ ให้หยิบ Apple Watch ขึ้นมาแล้วเข้าไปที่ Setting >> General >> About แล้วไปดูตรง Version ว่าเป็นเวอร์ชัน 2.0 (13S344) จริงหรือไม่?? ถ้าใช่แสดงว่าอัพเดทสำเร็จ

!! คำเตือน !!

เมื่อเราทำการอัพเดท watchOS 2 แล้ว เราไม่สามารถ Downgrade กลับไปใช้เวอร์ชันก่อนหน้าได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ควรตัดสินใจให้ดีก่อนทำการดัพเดท
Credits:http://www.macthai.com/2015/09/22/how-to-update-watchos-2/

วิธี Downgrade จาก iOS 9.0 กลับไป iOS 8.4.1 บน iPhone, iPad, iPod Touch

ios-9-downgrade-to-ios-8-4-1
แม้แอปเปิลออกมาประกาศว่ามีคนที่อัพเดทเครื่องไปเป็น iOS 9 แล้วมากกว่า 50% ของผู้ใช้ทั้งหมด จนเป็น iOS เวอร์ชันที่มีผู้อัพเดทขึ้นไปเร็วที่สุดตั้งแต่เคยมีมา แต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่ปลื้ม และอยากจะกลับไป iOS 8.4.1 วันนี้เรามีวิธีมากฝากกัน

เตรียมเครื่องก่อน Downgrade

  • คอมพิวเตอร์ ที่ลงโปรแกรม iTunes เวอร์ชันล่าสุดเอาไว้
  • เครื่อง iPhone, iPad, iPod Touch ที่ใช้ iOS 9.0
  • โหลดไฟล์ Firmware เวอร์ชัน 8.4.1 เอาไว้ (รวมช่องทางโหลด Firmware iOS 8.4.1 สำหรับ iPhone, iPad และ iPod Touch)
  • Backup ข้อมูลที่เคยเก็บไว้ตอนเวอร์ชัน 8.4.1 (ถ้าไม่เคยเก็บ Backup ไว้แนะนำให้อ่านคำเตือนด้านล่างนี้)

คำเตือนก่อน Downgrade

  • Backup ที่เราเก็บไว้ของเวอร์ชัน 9.0 จะไม่สามารถนำมาใช้กับ 8.4.1 ได้ เพราะเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่า
  • นั้นหมายความว่า ถ้าคุณไม่เคยทำการ Backup ข้อมูลตอนที่ใช้เวอร์ชัน 8.4.1 เอาไว้เลย ถ้าทำการ Downgrade กลับจาก 9.0 มา 8.4.1 คุณจะได้เครื่องเปล่าๆ ไม่มีข้อมูลอยู่ในนั้น
  • แต่ถ้าคุณเคยมี Backup ของเวอร์ชัน 8.4.1 เอาไว้ในเครื่อง ก็สามารถ Downgrade แล้วนำข้อมูลจาก Backup นั้นมาใช้ได้
macthai-how-to-downgrade-from-ios-9-to-ios-8-4-1.08 PM

วิธี Downgrade จาก iOS 9.0 มา iOS 8.4.1

  • เปิด iPhone, iPad หรือ iPod Touch แล้วเสียบสาย Sync เข้ากับคอมพิวเตอร์
  • เปิดโปรแกรม iTunes เวอร์ชันล่าสุด
  • ทำการ Backup ข้อมูลทั้งหมดก่อนที่จะ Downgrade (อ่าน: วิธี Backup ข้อมูลผ่าน iTunes)
  • กดเข้า Recovery Mode โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
    • ปิดเครื่อง โดยกดที่ปุ่ม Power ค้างไว้ แล้ว Slide to Power Off
    • กดปุ่ม Power ค้างไว้ 3 วินาทีเพื่อเปิดเครื่อง
    • จากนั้นปล่อยปุ่ม Power แล้วกดปุ่ม Home ค้างไว้อีก 10 วินาที หรือจนกว่าจะขึ้นโลโก้รูปเสียบสายกับ iTunes บนหน้าจอ
    • ถ้าทำแล้วไม่มีหน้าจอดังกล่าวขึ้นมา ให้กลับไปเริ่มข้อแรกของการทำ Recovery Mode ใหม่
macthai-how-to-downgrade-from-ios-9-to-ios-8-4-1.21 PM
  • ถ้าขึ้นหน้าต่างเตือน ให้กดไปที่ Cancel
macthai-how-to-downgrade-from-ios-9-to-ios-8-4-1.33 PM
  • เมื่อเข้า Recovery Mode แล้ว กดปุ่ม Shift ค้างไว้ (ถ้าบนแมคกดปุ่ม Alt ค้างไว้) แล้วเลือกไปที่ Restore
  • จากนั้นเลือกไฟล์ Firmware iOS 8.4.1 ที่โหลดมาเก็บไว้
  • รอประมาณ 20 นาที ก็จะได้เครื่องกลับมาเป็น iOS 8.4.1 แล้ว
macthai-how-to-downgrade-from-ios-9-to-ios-8-4-1.25 PM
  • ถ้าใครที่มี Backup ของเวอร์ชัน 8.4.1 เก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเลือกเอาข้อมูลจาก Backup นั้นได้เลย
Credits:http://www.macthai.com/2015/09/22/how-to-downgrade-from-ios-9-to-ios-8-4-1/

วิธีแก้ปัญหาแอพค้างบน Apple Watch ด้วยวิธี Force Quit

ในบางครั้งเวลาเราใช้แอพบน iPhone/iPad เกิดไม่ตอบสนองหรือค้างเราก็พอจะรู้วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นอยู่บ้าง แต่ถ้าปัญหานี้เกิดกับ Apple Watch ล่ะ จะทำอย่างไรดี?
ปัญหาแอพค้างอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเราจะใช้งานบนอุปกรณ์ประเภทใดก็ตาม และ Apple Watch ก็เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเราใช้งานแอพใดๆ บน Apple Watch แล้วเกิดค้างขึ้นมา เราสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ด้วยการ Force Quit ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

การ Force Quit เมื่อแอพค้าง

  • ในการที่จะ Force Quit แอพบน Apple Watch นั้น ให้เรากด Side button ที่อยู่ด้านล่างของ Digital Crown ค้างไว้จนกว่าหน้าจอ Shut down ปรากฏ
force-quit-app-on-apple-watch01
  • เมื่อหน้าจอ Shut down ปรากฏให้เราปล่อยปุ่ม จากนั้นกด Side button ค้างอีกครั้งจนกว่า app ที่มีปัญหาปิดไปจากนั้น Apple Watch ก็จะกลับมาสู่หน้า home อีกครั้ง
force-quit-app-on-apple-watch02
force-quit-app-on-apple-watch03
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแล้วครับ ดูวิธีการทำ Force Quit ได้จากวิดีโอด้านล่างครับ
Credits:http://www.macthai.com/2015/05/07/tip-how-to-force-quit-or-kill-an-app-on-the-apple-watch-2/

iPhone: ส่องราคา iPhone 6s, iPhone 6s Plus เครื่องเปล่าจากสิงคโปร์, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น!

 สำหรับสาวก Apple ที่ขี้ใจร้อนเชื่อเหลือเกินว่าหลายๆท่านที่งบถึงก็คงอยากจะจับจองเป็นเจ้าของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Appleกันอยู่แน่ๆ แต่สำหรับคนที่รอเครื่องศูนย์ไทยกันไม่ไหวจริงๆเพราะก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มขายกันเมื่อไหร่ก็อาจจะต้องไปอุดหนุนเครื่องหิ้วกันแทน ว่าแล้ววันนี้เราเลยรวบรวมราคาวางจำหน่าย iPhone 6s และ iPhone 6s Plus จากสามประเทศในแถบเอเชียทั้งสิงคโปร์, ฮ่องกง และญี่ปุ่นซึ่งเป็นกลุ่มประเทศแรกที่วางขาย iPhone รุ่นใหม่ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนนี้เลย มาดูกันครับว่าแต่ละประเทศจะถูกแพงแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน :)

ราคา iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ในสิงคโปร์

  • iPhone 6s รุ่นความจุ 16GB ราคา 1,048 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 26,600 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 64GB ราคา 1,218 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 31,000 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 128GB ราคา 1,388 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 35,300 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 16GB ราคา 1,218 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 31,000 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 64GB ราคา 1,388 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 35,300 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 128GB ราคา 1,558 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 39,600 บาท

ราคา iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ในฮ่องกง

  • iPhone 6s รุ่นความจุ 16GB ราคา 5,588 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 26,000 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 64GB ราคา 6,388 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 29,800 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 128GB ราคา 7,188 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 33,500 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 16GB ราคา 6,388 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 29,800 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 64GB ราคา 7,188 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 33,500 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 128GB ราคา 8,088 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 37,700 บาท

ราคา iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ในญี่ปุ่น

  • iPhone 6s รุ่นความจุ 16GB ราคา 86,800 เยน หรือประมาณ 26,100 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 64GB ราคา 98,800 เยน หรือประมาณ 29,700 บาท
  • iPhone 6s รุ่นความจุ 128GB ราคา 110,800 เยน หรือประมาณ 33,300 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 16GB ราคา 98,800 เยน หรือประมาณ 29,700 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 64GB ราคา 110,800 เยน หรือประมาณ 33,300 บาท
  • iPhone 6s Plus รุ่นความจุ 128GB ราคา 122,800 เยน หรือประมาณ 36,900 บาท

Credits:http://www.techxcite.com/topic/23594.html

iPhone: มาแล้วคลิปแกะกล่อง iPhone 6s, iPhone 6s Plus พร้อมตัวอย่างรูปถ่าย, Benchmark! (มีคลิป)

เรียกได้ว่าไวกว่าที่ Apple ระบุไว้เหมือนกันสำหรับ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus สมาร์ตโฟนเรือธงสองรุ่นล่าสุดที่ตอนนี้เริ่มมีคนได้รับของที่สั่งไว้ก่อนกำหนดกันแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ก็ต้องนำตัวเครื่องมาทำการแกะกล่องให้ชมกันรวมไปจนถึงทดสอบกันเล็กๆน้อยๆในส่วนของกล้องและประสิทธิภาพภายในเครื่องผ่าน Benchmark กันด้วย ซึ่งในวันนี้เราได้รวบรวมคลิปแกะกล่อง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus รวมถึงตัวอย่างภาพจากกล้องหลังและผลทดสอบคะแนน Geekbench มาให้ชมกันเสียเลย!

คลิปแกะกล่อง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus โดย MKBHD

รีวิว iPhone 6s และ iPhone 6s Plus โดย The Verge

คะแนน Geekbench ของ iPhone 6s



Credits:http://www.techxcite.com/topic/23728.html